Bewell App - News & Promotion, บทความสุขภาพ

เตรียมตัว !! พร้อมกลับเข้าออฟฟิศแบบ “Super productive”

super productive bewell

หลังจากสถานการณ์โควิดที่มีมาอย่างยาวนานทำให้หลาย ๆ บริษัทต้องปรับตัวกันอย่างมาก เกิดการ Work from home จนตอนนี้ต้องทำบ้านให้เป็นออฟฟิศหลังที่สอง พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง การเลือกไปทำงานที่คาเฟ่ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานได้เป็นอย่างดี แต่บางคนก็ยังชอบการมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิมเพราะในออฟฟิศมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานมากกว่า ทั้งการคุยงานกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีเสียงรบกวนจากข้างบ้าน ไม่ต้องคอยหงุดหงิดอินเตอร์เน็ตที่อาจมีปัญหาอยู่บ่อย ๆ แล้วจะกลับเข้าออฟฟิศทั้งทีจะไปแบบคนไม่ “Super productive” ได้อย่างไรกัน มาเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กันในที่นี่เลย 

Super Productive คืออะไร 

ถ้าพูดถึงคำว่า Productive หลาย ๆ คนคงคิดว่าเป็นคำที่น่ากลัว และไม่ควรเข้ามาพูดบ่อย ๆ เพราะคนเราไม่อาจจะ Productive ได้ตลอดเวลา หรือสามารถเป็นคนแบบนี้ได้ แต่แท้จริงแล้วความหมายของคำนี้มันสามารถช่วยทำให้เรากลายเป็นคนที่รักตัวได้มากขึ้น และยังช่วยพัฒนาตัวเองได้อีกด้วยนะ เพราะแท้จริงแล้วคำว่า Productive คือการที่เราทำให้ตัวเองเลือกโฟกัสสิ่งที่สำคัญ และเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเราภูมิใจหรือเห็นค่าในตัวเองได้มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งสมัยก่อนคนอาจเข้าใจผิดว่าการเป็นคนที่ทำงานเยอะ ๆ ได้งานมาก ๆ ทำงานดึกดื่น ไม่มีเวลาพัก แบ่งเวลาชีวิตไม่ได้ เอางานมาร่วมกับการใช้ชีวิตเลย ทำให้กลายเป็นคนที่โครต “Super Productive” นั่นเอง ดังนั้นในบทความนี้เลยอยากชวนให้ทุกมาลองปรับเปลี่ยนทัศนคติกับคำนี้ ด้วย 5 วิธี ที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพกันดีกว่า

super productive bewell

1.Timeboxing ตัวช่วยจัดสรรเวลาให้ชีวิต

การจัดการเวลาที่ดีให้กับชีวิตถือว่าเป็นก้าวแรกของการเริ่มวันทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ดีเลยก็ว่าได้ เพราะเราสามารถแพลนได้ว่าในหนึ่งวันเราต้องเริ่มทำอะไรก่อนและหลัง ทำให้เราจัดการงานตรงหน้าได้ง่ายขึ้น ไม่สับสน หรือวุ่นวายในแต่ละวันเพราะเรามีแพลนไว้แล้ว และสิ่งสำคัญเราควรมีเวลาในการพักด้วย ซึ่งหากไม่มีช่วงผ่อนคลายเลย การทำงานในหนึ่งวันก็จะเกิดความตึงเครียดเกินไปได้นั่นเอง โดยการจัดสรรเวลาอาจจะเป็นการทำ List to do หรือ ตาราง Eisenhower box โดยจะแบ่งงานเป็น 4 อันดับด้วยกัน คือ งานสำคัญและด่วน งานสำคัญแต่ไม่ด่วน งานไม่สำคัญแต่ด่วน และงานไม่สำคัญและไม่ด่วน ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกทำงานได้ราบรื่นมากขึ้นในแต่ละวันนั้นเอง

2. Prime time ช่วงเวลาคุณภาพ

เวลาในการทำงานของออฟฟิศทั่วไปก็จะอยู่ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่เชื่อว่าคนเราไม่สามารถมีเวลาที่ Productive ได้ตลอดเวลาอย่างแน่นอน เราจึงควรมีเวลาที่เป็นช่วงคุณภาพให้กับตัวเองได้โฟกัสงานตรงหน้า ได้งานที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วงเวลาเข้างานประมาณ 9 – 11 โมง ที่จะมีการพูดคุยกับคนในทีม หรือหัวหน้า เพื่อสรุปว่าในหนึ่งวันมีงานอะไรที่ต้องทำบ้าง แต่ทั้งนี้ Prime time ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นช่วงบ่าย ช่วงเย็น หรือตอนกลางคืน ซึ่งสิ่งนี้ทุกคนอาจจะต้องลองสังเกตตัวเองดูว่าเราชอบทำงานในช่วงเวลาไหน และช่วงเวลานั้นและที่จะทำให้คุณโฟกัสกับงานได้ และมีสมาธิกับมันมากที่สุด

3. การปฏิเสธให้เป็น

หลายคนอาจสงสัยทำไมเราต้องหัดปฏิเสธเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้าด้วย ในเมื่อมันเป็นงานก็ต้องทำหรือเปล่า แต่การทำงานนั้นก็มีขอบเขตและหน้าที่ของมันอยู่หากเรายินยอมที่จะรับทำทุกอย่างโดยไม่ประเมินตนเองก็อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า และความเบื่อหน่ายในการทำงานได้ อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Burnout syndrome ได้ อย่างที่ใครหลาย ๆ คน กำลังเผชิญหน้ากับอาการเหล่านี้อยู่ หากเรารู้จักตัวเองและหน้าที่ตัวเองดีแล้วการเลือกปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็น หรืองานที่ทำให้เราเสียเวลาก็เป็นทางเลือกที่จะทำให้เรามีช่วงเวลาที่ดีมากขึ้นในการทำงานได้ ทั้งนี้การปฏิเสธงานอาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากแต่หากเราสามารถพูดและทำความเข้าใจกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานก็จะทำให้บรรยากาศในการทำงานและตัวเราเองสนุกไปกับการทำงานได้อย่างแน่นอน

4. การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน

การพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมหรือหัวหน้าในระหว่างวันของการทำงานก็ถือว่าเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งของการทำงานได้ อย่างเช่นการทักทายกันยามเช้า ก็ทำให้เรารู้สึกดีและมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ได้ถามไถ่กันเล็กน้อย ถือว่าเป็นการเปิดบรรยากาศให้ออฟฟิศในตอนเช้าพร้อมกับการทำงานได้มากขึ้น หรือการทำงานในแต่ละวันที่อาจมีอุปสรรคการปรึกษาเพื่อนร่วมงานเพื่อหาข้อผิดพลาดหรือการรับ feedback ก็อาจทำให้เรามองเห็นปัญหาและสามารถทำให้งานออกมาดีขึ้นได้ นี่เชื่อว่าการสื่อสารจะช่วยทำให้คนเราสามารถมีช่วงที่ Productive ของการทำงานได้นั่นเอง

5. มีสิ่งแวดล้อมที่ดี

ถ้าพูดถึงบรรยากาศในออฟฟิศทุกคนคงอยากได้ออฟฟิศที่มีบรรยากาศที่ไม่ตึงเครียด มีความสนุกสนานเฮฮา คุยกันได้ มีช่วงเวลาในการทำงานและการพักอย่างจริงจัง แต่ในเรื่องของระบบเวลาเหล่านี้การมีสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงานในเรื่องของเสียง กลิ่น หรือทัศนียภาพของอาคาร หรืออย่างอุปกรณ์โต๊ะทำงาน ก็ล้วนส่งผลต่อความ Productive ในการทำงานด้วยเช่นกัน หากเราเตรียมพร้อมในเรื่องของโต๊ะทำงาน เก้าอี้ หรืออุปกรณ์ซัพพอร์ตต่าง ๆ ได้ดี ก็ยิ่งทำให้เรามีสุขภาพทางกายและจิตใจที่พร้อมกับการทำงานได้มากขึ้น 

 

หากอยากรู้ว่าการจัดโต๊ะทำงานที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์เป็นอย่างไร อ่านได้ที่ : เลือกเก้าอี้และโต๊ะสำหรับทำงานอย่างไรให้เหมาะกับสรีระ

เมื่อร่างกายพร้อม อุปกรณ์ในการทำงานก็ต้องพร้อมด้วย 

เก้าอี้และโต๊ะปรับระดับได้ ที่จะช่วยทำให้การทำงานไม่ว่าจะที่ออฟฟิศ หรือที่บ้าน ทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นได้ อย่ามองข้ามเรื่องของอุปกรณ์ในการทำงานเพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้เวลาอยู่กับมันค่อนข้างเยอะ เลือกสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกันนะคะ 

Slide
ฟรี! ปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ
ปรับท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง
ตามหลัก Ergonomics

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *